ส่วนข้อหาสมคบกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สนับสนุน หรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด จัดหาทรัพย์สินเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด รับเงินหรือทรัพย์ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปฟอกเงินรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วยนางพัชรินทร์ อิทธิวัฒนา อายุ 51 ปี นายสิทธิพงษ์ ถือสัตย์เที่ยง อายุ 34 ปี และนายสิทธิไพบูลย์ คำนิล อายุ 49 ปี ส่วนนายชุติพนธ์ จันทร์ชัยธนาธิป อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาคดีสมคบยาเสพติดและข้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่งถูกจับกุมหน้าสำนักสงฆ์ปากน้ำริมถนนเฉลิมพระเกียรติ ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง เมื่อคืนวันที่ 25 ธ.ค. จะนำตัวส่งฝากขังวันที่ 27 ธ.ค.นี้
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝากขังแล้ว ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญากรุงเทพใต้พิจารณาแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 4 นายสิทธิกร ประภาจรัสวงศ์ อายุ 56 ปี ผู้ต้องหาที่ 5 นางสุรัสวดี ทองเพิ่มพลอย อายุ 43 ปี และผู้ต้องหาที่ 9 นางวัทนารีย์ (พ.ต.อ.หญิงวันทนารีย์ กรณ์ชายานันท์) ระหว่างสอบสวน ตีราคาประกันคนละ 2 ล้านบาท แต่ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และให้แจ้ง ตม.ทราบด้วย หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งถือว่าผิดสัญญาประกันระหว่างปล่อยชั่วคราวให้ปรับ 2 ล้านบาท
ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 นายสิทธิไพบูลย์ คำนิล อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 นางพัชรินทร์ อิทธิวัฒนา อายุ 51 ปี และผู้ต้องหาที่ 3 นายสิทธิพงษ์ ถือสัตย์เที่ยง อายุ 34 ปี ศาลอาญากรุงเทพใต้พิจารณาแล้วเห็นว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและฟอกเงิน อันเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจะหลบหนี ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ส่วนผู้ต้องหาที่ 6 นายฉัตรชัย ลาภอำนวยเจริญ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาที่ 7 นายณัฐวุฒิ ศรีอ่อน อายุ 48 ปี และผู้ต้องหาที่ 8 นายพีรพัฒน์ ทองเพิ่มพลอย อายุ 25 ปี หลักทรัพย์ไม่พร้อมจึงไม่ยื่นประกัน ศาลออกหมายขังส่งตัวผู้ต้องหาเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เช่นเดียวกัน
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) วันเดียวกัน นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน คณะทำงานคดีตู้ห่าว พร้อมด้วยนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงาน อสส. แถลงความคืบหน้าคดี โดยนายโกศลวัฒน์กล่าวว่า ตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งมอบหมายพนักงานสอบสวนให้พนักงานสอบสวน บช.น. บช.ก. บช.ปส. บช.สอท.และพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานต่างประเทศ ร่วมสอบสวนคดีนายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าวกับพวก ให้การสอบสวนเป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ อสส.ตั้งศูนย์อำนวยการสอบสวนปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพนักงานสอบสวนทุกขั้นตอน ร่วมกันตรวจพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมาฝ่ายเดียวก่อนอัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วม พิจารณากำหนดแนวทางการสอบสวน กำหนดกรอบเวลาให้เสร็จทันครบฝากขังผู้ต้องหา เสนอให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมจากกลุ่มเดิมอีก 15 หมายและจับกุมแล้ว 10 คน
“เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ 10 คนมาให้พนักงานอัยการและตำรวจสอบสวนแจ้งข้อหาแต่ละฐานความผิดดังนี้ ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุสมคบกัน โดยการกระทำมีลักษณะเป็นการกระทำ ขององค์กรอาชญากรรม กระทำความผิดฐานร่วมกัน จำหน่ายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการมีไว้เพื่อ จำหน่ายฯ ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าฯ สมคบโดยการตกลงกัน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีส่วนร่วมกระทำการใดๆไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในกิจกรรมหรือการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรู้ถึงวัตถุประสงค์และการดำเนินกิจกรรมหรือโดยรู้ถึงเจตนาที่จะกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว จะสอบสวนขยายผลดำเนินคดีผู้กระทำผิดต่อไป” นายโกศลวัฒน์กล่าว
ด้านนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้การสอบสวนยังไม่เสร็จ อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานทั้งที่เกิดในและนอกประเทศ มีบุคคลเกี่ยวข้องนับร้อยปาก แต่หลักฐานที่มีตอนนี้ขอศาลออกหมายจับเพิ่มเติมแล้ว 15 คนเป็นพยานหลักฐานที่ชัดเจน เราจึงกล้าขอศาลออกหมายจับ แต่เรายังสอบสวนขยายผล ผู้ต้องหาชุด 15 คนที่ขอศาลออกหมายจับล่าสุดแต่ละคนความผิดแตกต่างออกไปแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มฟอกเงินอย่างเดียว 2.กลุ่มสมคบกันฟอกเงิน สมคบกันทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และองค์กรความผิดข้ามชาติ ขณะนี้ยังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาอย่างน้อยอีก 1 ชุด คาดว่าก่อนสิ้นปี ส่วนนายตู้ห่าวมีพยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่า เข้าข่ายกระทำผิดฐานฟอกเงินจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในเรือนจำภายใน 1-2 วัน ส่วนการตามยึดทรัพย์สินเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นมูลฐานข้อหาฟอกเงิน แจ้งไปยังคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์ของ ป.ป.ส. จะแยกส่วนจากคดีอาญา เป็นขั้นตอนหนึ่งที่จะยื่นขอให้ศาลยึดทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ส. ส่วนเราฐานะพนักงานสอบสวนอาจประสานข้อมูลเข้ามาในสำนวนได้ เมื่อเราแจ้งฟอกเงินแล้วไม่ต้องประสาน ปปง.สามารถแจ้งข้อหาได้เลย
“ส่วนกรณีดีเอสไอแถลงว่าจะรับคดีตู้ห่าวเป็นคดีพิเศษจากความผิดฐานฟอกเงิน เข้าใจว่าดีเอสไอกำลังพิจารณา ถ้าดีเอสไอเห็นว่าการกระทำของคนกลุ่มนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักรดีเอสไอจะไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะ อสส.จะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ คดีต้องเสนอให้ อสส.พิจารณาว่า จะดำเนินการสอบสวนเอง หรือมอบหมายพนักงานสอบสวนที่ใดเป็นผู้สอบสวน ตอนนี้สถานะคดีถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว ส่วนเรื่องการติดตามพยานหลักฐานที่อยู่ต่างประเทศจะขอความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ แต่อาจต้องใช้เวลาเพราะต้องประสานงานมายังสำนักงานอัยการต่างประเทศเพื่อส่งไปประเทศที่เราขอพยานหลักฐาน เราพบว่าคดีนี้มีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์” นายกุลธนิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภรรยานายตู้ห่าวถูกแจ้งข้อหาใด บ้าง นายกุลธนิตกล่าวว่า ขณะนี้โดนตั้งข้อหาเฉพาะเรื่องฟอกเงิน แต่การสอบสวนยังไม่หยุด ถ้าภายหลังพบว่ามีส่วนร่วมกับยาเสพติด หรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติสามารถแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ กรณีจับกุมผู้ต้องหาหลายคนไม่พร้อมกัน ระยะเวลาฝากขังครบกำหนดไม่เท่ากัน กรอบตอนนี้เราจะสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดก่อนครบฝากขังครั้งที่ 6 ผู้ต้องหาทั้งหมดจะครบกำหนดวันที่ 8 ม.ค.2566 ผู้ต้องหาที่แจ้งข้อหาไปเมื่อวานปฏิเสธและจะทำคำให้การมายื่นภายหลัง ผู้ต้องหาทุกคนมีทนายมาร่วมฟังตามสิทธิ
มีรายงานด้วยว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์เดินทางมาฟังการแถลงข่าวของอัยการสูงสุดด้วย ก่อนตั้งคำถาม ในช่วงท้ายเกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ และการประสานการทำงานกับหน่วยงานต่างๆที่มีปัญหา นายกุลธนิตกล่าวตอบว่า อัยการไม่ได้รับสำนวนจากตำรวจเพียงอย่างเดียว แต่ตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อความถูกต้อง เพื่อคลี่คลายประเด็นสงสัยต่างๆแล้ว ปัจจุบันมีพยานจำนวนมากและออกหมายจับเพิ่มเติมนอกเหนือจากสำนวนแรก ดังนั้นจึงยืนยันว่าแม้สรุปสำนวนส่ง อสส.แล้ว ยังดำเนินการสอบสวนต่อเนื่อง ขอให้ทุกคนมั่นใจ
ส่วนนายชูวิทย์เผยหลังการแถลงข่าวว่า ตนยืนยันไม่ได้หิวแสงและไม่ได้หวังผลทางการเมือง ตนจะเรียกร้องงานนี้เป็นงานสุดท้าย แม้ไม่ได้มีหน้าที่แต่ใช้สิทธิ์ฐานะประชาชน แม้อัยการมีความสามารถแต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและอำนาจ อาจทำให้แก้ปัญหาสำนวนคดีนี้ไม่ได้ หน่วยงานของรัฐที่มีปัญหาขณะนี้คือ หน่วยงานตำรวจ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาเคลื่อนไหว จะดำรงตำแหน่งต่อไปทำไมหากไม่ทำประโยชน์ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ระดับประเทศ เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติควรออกมาพูดบ้าง อย่ามัวแต่หาเสียง
{Fullwidth}